นอกจากนี้ เด็กไทยยังเติบโตท่ามกลางความกดดันของระบบแข่งขัน เมื่อเป็นเช่นนี้ เด็กจึงเกิดความเครียด และมีปัญหาด้านต่างๆ จนบางครั้งขาดสมดุลบางอย่างในร่างกายไป เพราะไม่มีกิจกรรมอื่นๆ ให้ทำนอกจากเรียนเป็นหลัก ตรงกันข้ามกับพ่อแม่บางคน ที่สอดแทรกกิจกรรมศิลปะให้กับลูก แต่บางครั้งยังไม่เข้าใจศิลปะเท่าที่ควร โดยเฉพาะนิสัยชอบวิจารณ์ผลงานลูก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ "บางคนชอบไปตีกรอบลูก เช่น ทำไมไม่อ่านหนังสือ โดยไม่สนับสนุนให้ลูกลองเล่นกับศิลปะ แต่จริงๆ แล้ว ศิลปะเป็นงานที่ดี และเกิดผลกับเด็กได้จริง เพียงแค่นั่งพูดคุย และให้กำลังใจลูก เช่น "ไหน หนูวาดอะไรค่ะ ลองเล่าให้คุณแม่ฟังสิ" สิ่งเหล่านี้ ถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวได้เป็นอย่างดี ซึ่งพ่อแม่ไม่ต้องไปตัดสินอะไรทั้งสิ้น หน้าที่ของพ่อแม่คือ สนับสนุน ส่งเสริม และให้กำลังใจเท่านั้น" กระนั้น คุณพ่อคุณแม่สามารถเห็นคุณค่าของศาสตร์ศิลปะได้ ด้วยการเปิดพื้นที่ให้ลูก นอกเหนือจากการดูโทรทัศน์ หรือเล่นเกมเพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่จำเป็นต้องเรียนพิเศษกับครูศิลปะนอกบ้าน แต่ขอให้นำศิลปะมาเป็นกิจกรรมเสริมกับลูกในบ้านก็ได้ ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับทุกคนในครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน "ศิลปะกับเด็กให้ความงอกงาม ยกระดับจิต และทำให้เด็กมีธรรมชาติของความเป็นเด็กมากขึ้น" คำ ทิ้งท้ายของครูมอสที่เห็นถึงความมหัศจรรย์ของศิลปะ เช่นเดียวกับศิลปะที่ช่วยให้เขาสมดุล โดยเฉพาะงานปั้นดิน งานที่ผสมผสานตั้งแต่ความคิด หัวใจ และการกระทำ เรียกได้ว่า เป็นงานที่ทุกระบบทำงานไปด้วยกัน ดังนั้นพ่อ แม่มีศิลปะในการใช้ชีวิต และเลี้ยงดูลูกได้ โดยส่งเสริม และยกระดับจิตข้างในของลูกด้วยศิลปะอย่างเข้าใจ ซึ่งไม่ควรมองว่าศิลปะคือตัวสินค้า หรือผลงาน แต่มันมากกว่านั้น นั่นคือจิตวิญญาณ |
วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ฟังมุมมอง 'นักศิลปะ' ผู้ใหญ่ทำให้เด็กเข้าไม่ถึง 'ศิลปะ'
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น